เมื่อเช้าวันที่ 13 มี.ค. เวลา 06.00 น. ตามเวลาประเทศไทย “ไทม์” (TIME) นิตยสารที่มีอิทธิพลระดับโลก ได้เปิดเผยหน้าปกนิตยสารฉบับวันที่ 25 มี.ค. 2567 โดยเป็นภาพของ “นายเศรษฐา ทวีสิน” นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังของประเทศไทย

นิตยสารไทม์ใช้คำไฮไลต์และพาดหัวว่า “The Salesman Thai Prime Minister Srettha ”Thavisin is open for business in a country that feels shortchanged by his election

โดยนิตยสารไทม์ได้เปิดเผยบทสนทนาและการสัมภาษณ์เบื้องต้นเพื่อเรียกน้ำย่อย ส่วนฉบับเต็มต้องตามหาอ่านกันหลังนิตยสารฉบับดังกล่าววางแผง

และนี่คือ 5 ประเด็นสำคัญจากการสนทนาระหว่างนายกฯ เศรษฐากับ TIME

ยังเป็นนายกฯ (ในตอนนี้)

นายเศรษฐาได้รับการยืนยันเป็นนายกรัฐมนตรีในวันที่ 22 ส.ค. 2566 ซึ่งตรงกับวันที่อดีตนายกฯ ผู้ก่อตั้งพรรคเพื่อไทย นายทักษิณ ชินวัตร กลับมาจากการลี้ภัยพอดี

ไทม์ระบุว่า นายทักษิณ ซึ่งถูกโค่นล้มในการรัฐประหารปี 2549 และต่อมาถูกตัดสินว่ามีความผิดฐานคอร์รัปชันและใช้อำนาจโดยมิชอบ ถูกจับที่สนามบิน จากนั้นย้ายจากห้องขังไปยังห้องพยาบาลหรูหราภายในไม่กี่ชั่วโมง และได้รับการพักโทษเมื่อวันที่ 18 ก.พ. ที่ผ่านมา

เศรษฐาเปิดเผยว่า เขาโทรหาทักษิณหลังจากได้รับการปล่อยตัว และยินดีรับคำแนะนำจากเขาเช่นเดียวกับอดีตนายกรัฐมนตรีคนอื่น อย่างไรก็ตาม นายเศรษฐายืนยันว่า “ผมควบคุมได้”

ถึงกระนั้น แพทองธาร ลูกสาวคนเล็กของทักษิณก็ได้รับเลือกให้เป็นหัวหน้าพรรคและผู้สมัครชิงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี จึงเกิดการคาดเดากันอย่างไม่ขาดสายว่าจุดจบทางการเมืองของนายเศรษฐากำลังจะเกิดขึ้น

นายเศรษฐาไม่สนใจการคาดเดาเหล่านั้น และบอกกับไทม์ว่า “คุณแพทองธารเป็นหญิงสาวที่มีความทะเยอทะยานและมีความสามารถมาก … ผมแน่ใจว่าวันหนึ่งเธอจะลงสมัครชิงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี แต่ในอีก 4 ปีข้างหน้า ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเป็นของผม”

จุดยืนไม่เข้าข้างรัสเซียและยูเครน

นายเศรษฐาต้องการคงสถานะ “เป็นกลาง” ในสงครามรัสเซีย-ยูเครน และแก้ต่างกรณีที่เขาเชิญประธานาธิบดีรัสเซีย วลาดิเมียร์ ปูติน ให้มาเยือนประเทศไทยเมื่อผู้นำทั้งสองพบกันที่จีนเมื่อเดือน ต.ค. 2566 ว่า “ประเทศไทยไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของความขัดแย้งระหว่างประเทศ”

นายเศรษฐาบอกว่า “เราไม่สนับสนุนความรุนแรง เราปฏิบัติตามกฎหมายระหว่างประเทศอย่างเคร่งครัด เราอยู่เคียงข้างสันติภาพเพราะเราเชื่อว่าประชาคมระหว่างประเทศจะต้องแบ่งปันสันติภาพร่วมกันเพื่อความเจริญรุ่งเรืองร่วมกัน”

เขาเสริมว่า “สถานการณ์ในยูเครนทำให้โลกเปลี่ยนไปสู่การแบ่งขั้ว สร้างความกดดันให้หลายประเทศรวมถึงประเทศไทยต้องเลือกข้าง สิ่งนี้ไม่เป็นประโยชน์ในความพยายามของเราในการส่งเสริมสันติภาพและความมั่นคง ประเทศไทยเชื่อว่าหนทางข้างหน้าคือการเสริมสร้างพหุภาคีและความร่วมมือระหว่างประเทศ แทนที่จะแบ่งแยกโลก”คำพูดจาก สล็อตเว็บตรง

ม. 112 จะยังคงอยู่?

ไทม์ระบุว่า นายกฯ เศรษฐาเป็นผู้ปกป้องกฎหมายหมิ่นเบื้องสูงมาตรา 112 ซึ่งมีโทษจำคุกสูงสุด 15 ปี ทำให้กฎหมายดังกล่าวเป็นกฎหมายที่รุนแรงที่สุดในโลก

ตั้งแต่เดือน พ.ย. 2563 เป็นต้นมา มีผู้ถูกตั้งข้อหามาตรา 112 มากกว่า 200 คนจากกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการชุมนุมเพื่อประชาธิปไตยหรือแสดงความคิดเห็นบนโซเชียลมีเดีย รวมถึงเด็กหญิงอายุ 14 ปี และอดีตข้าราชการวัย 87 ปี

นายเศรษฐากล่าวถึงประเด็นนี้ว่า “กฎหมายทุกฉบับได้รับความเคารพและบังคับใช้อย่างเท่าเทียมกันในประเทศไทย รวมถึงมาตรา 112 ของประมวลกฎหมายอาญาด้วย การตัดสินความบริสุทธิ์หรือความผิดทำได้ผ่านฝ่ายตุลาการ ทุกคนมีสิทธิได้รับกระบวนการอันชอบธรรมตามกฎหมาย ในฐานะนายกรัฐมนตรี ผมไม่ควรและไม่สามารถแทรกแซงฝ่ายตุลาการได้”

ต้องการแก้ไขสงครามกลางเมืองของเมียนมา

นายเศรษฐาให้คำมั่นว่า จะเป็นหัวหอกในการพยายามรักษาสันติภาพในประเทศเพื่อนบ้านทางตะวันตกอย่างเมียนมา ซึ่งเกิดการปราบปรามและสงครามนองเลือดมาโดยตลอดนับตั้งแต่การรัฐประหารเมื่อวันที่ 1 ก.พ. 2564

นายกฯ เศรษฐากล่าวว่า ไทยมีพรมแดนร่วมกับเมียนมา 2,416 กม. ทำให้เมียนมากลายเป็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสียหลัก แม้ว่าสันติภาพจะนำมาซึ่งผลประโยชน์ทั่วทั้งสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) ที่มีสมาชิก 10 ประเทศก็ตาม

“อาเซียนเห็นพ้องกันว่าไทยจะเป็นผู้นำ ผมเชื่อว่าอีกไม่นานเราจะมีปณิธานเพื่อเมียนมาที่สงบสุขและเป็นหนึ่งเดียว ในระหว่างนี้ มีความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมจำนวนมากตามแนวชายแดนที่เราต้องดูแล” นายเศรษฐากล่าวถึงการเจรจาสันติภาพ

นอกจากความกังวลด้านมนุษยธรรมแล้ว นายเศรษฐายังกล่าวว่า สันติภาพยังเป็นผลดีต่อธุรกิจอีกด้วย “มีประชากร 650 ล้านคนในอาเซียน ซึ่งประมาณ 10% เป็นชาวเมียนมา พูดง่าย ๆ ก็คือ ตอนนี้พวกเขาเป็นสมาชิกที่ไม่มีประสิทธิภาพของภูมิภาคนี้ มาพูดคุยเกี่ยวกับศักยภาพของภูมิภาคนี้หากคุณมีเมียนมาที่สงบสุขและเป็นหนึ่งเดียว”

แฟนสีแดงพันธุ์แท้

สีของพรรคเพื่อไทยคือสีแดง ซึ่งเป็นสีที่ตรงใจของนายเศรษฐาพอดี เพราะเขาเป็นแฟนคลับตัวยงของทีมฟุตบอลอังกฤษอย่าง “ลิเวอร์พูล” ซึ่งมีสีประจำทีมเป็นสีแดง

นายกฯ บอกว่า เขาไม่กังวลเกี่ยวกับการจากไปของ เจอร์เกน คล็อปป์ โค้ชชาวเยอรมันที่ทำให้ทีมประสบความสำเร็จอย่างมาก และจะลาออกจากสโมสรแล้วเมื่อฤดูกาลนี้สิ้นสุดลง

“ผมคิดว่าเขาจากไปด้วยเหตุผลที่ดี เพราะเขาอิ่มตัวแล้ว ถ้าเขาอยู่ต่อไป ผมไม่คิดว่าเราจะได้ผลการแข่งขันเหมือนเดิม จริง ๆ แล้วผมกังวลมากกว่ากับการเปลี่ยน ซาดิโอ มาเน, โรแบร์โต เฟอร์มิโน และ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ และดาวรุ่งทั้งหมดที่ตามมา” นายเศรษฐากล่าว

นอกจาก 5 ประเด็นหลักข้างต้นแล้ว ในการพูดคุยตอนหนึ่ง นายกฯ เศรษฐายังบอกว่า เขาไม่โกรธ เทย์เลอร์ สวิฟ์ และไม่โกรธสิงคโปร์ ที่ไม่มาแสดงคอนเสิร์ต The Eras Tours ในไทย แต่สิ่งที่เขาโกรธคือ “การพลาดโอกาส”

ดังนั้น เมื่อนายเศรษฐาทราบว่าสิงคโปร์ได้ใส่เงื่อนไขพิเศษเข้าไปในสัญญากับสวิฟต์ ซึ่งห้ามไม่ให้เธอจัด Eras Tour ที่ประเทศอื่นในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สิ่งที่เขามองเห็นคือ ความเฉียบแหลมทางธุรกิจที่เขาต้องการให้ไทยเอาเป็นแบบอย่าง

“สิงคโปร์ฉลาดมาก ผมก็จะทำเช่นเดียวกัน โดยธรรมชาติแล้ว ผมเชื่อว่าประเทศไทยยังมีอะไรอีกมากมายที่จะนำเสนอ ไม่ใช่แค่สำหรับ เทย์เลอร์ สวิฟต์ เท่านั้น แต่ยังมีศิลปินระดับ A คนอื่น ๆ อีกด้วย มี เทย์เลอร์ สวิฟต์ อีกมากมาย” นายเศรษฐากล่าวกับไทม์

TIME ระบุว่า ตั้งแต่ดำรงตำแหน่ง นายเศรษฐาได้เริ่มพยายามที่จะฟื้นฟูเศรษฐกิจที่ถดถอยของประเทศ ด้วยการเดินทางไปต่างประเทศมากกว่า 10 ครั้งเพื่อดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ

เรียบเรียงจาก TIME

เปิดสถิติ อาร์เซน่อล ทะลุ 8 ทีม ยูฟ่าแชมเปี้ยนส์ลีก สิ้นสุดการรอคอยรอบ 14 ปี

 ให้สัมภาษณ์สื่อนอก “เศรษฐา เดอะ เซลส์แมน” ขึ้นปกนิตยสาร TIME

"เอฟ นนท์พัฒน์" เสียชีวิตอย่างสงบด้วยโรคมะเร็งในวัย 47 ปี

ทีมทนายความยัน ศาลไม่มีการออกหมายเรียก-หมายจับ “บิ๊กโจ๊ก”

By admin